Global Machinery Trading Solution Provider
  • Table of Contents
    • การใช้ AI ในการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต
    • ยกระดับการผลิตด้วย Collaborative Robots (Cobot)
    • การปรับปรุงกระบวนการผลิตด้วยเครื่องจักรที่ทันสมัย
    • ความสำคัญของการพัฒนาอย่างยั่งยืนในกระบวนการผลิต

การใช้ AI ในการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต

ปัจจุบันปัญญาประดิษฐ์ (AI) ได้กลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการขับเคลื่อนการเติบโตทางธุรกิจ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมการผลิต ไม่ว่าจะเป็นยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ หรือเครื่องมือทางการแพทย์ AI ไม่เพียงช่วยแค่ในการวิเคราะห์ข้อมูลและตรวจสอบคุณภาพสินค้า แต่ยังช่วยคาดการณ์และป้องกันปัญหาล่วงหน้า ส่งผลให้กระบวนการผลิตมีความต่อเนื่อง ลดข้อผิดพลาด และเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันในตลาด

AI และ Cobot เป็นส่วนสำคัญในการยกระดับประสิทธิภาพการผลิตในอุตสาหกรรม โดยทำหน้าที่ร่วมงานกับมนุษย์อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพสูง ซึ่งช่วยลดข้อผิดพลาดและความเสี่ยงต่างๆ ในกระบวนการผลิตในระยะยาว

จากการสำรวจของ McKinsey พบว่า บริษัทที่นำ AI มาใช้ในอุตสาหกรรมสามารถทำผลงานได้ดีกว่าคู่แข่งในอุตสาหกรรมเดียวกันถึง 3.4 เท่า และผู้ประกอบการที่นำ AI มาใช้ในโรงงานแปรรูปในอุตสาหกรรมรายงานว่าผลผลิตเพิ่มขึ้น 10 – 15 % และ EBITA เพิ่มขึ้น 4-5 %

โดยการประเมินทั่วโลก AI มีศักยภาพที่จะเพิ่มกิจกรรมทางเศรษฐกิจรวมได้ประมาณ 13 ล้านล้านดอลลาร์ ภายในปี 2030 และยังมีมูลค่า 1 ล้านล้านดอลลาร์ ที่ยังไม่ได้ถูกดึงมาใช้ในภาคอุตสาหกรรม.

Note: EBITA (Earnings Before Interest, Taxes, Depreciation, and Amortization) คือ กำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย

กรณีศึกษาบริษัทที่ใช้ AI ช่วยในการผลิต

บริษัท CITIC Pacific Special Steel ผู้ผลิตเหล็กกล้าพิเศษในจีนใช้งาน AI ในกระบวนการผลิต ซึ่งรวมถึงการคาดการณ์การทำงานภายในเตาเผาเหล็กเพื่อปรับพารามิเตอร์ของกระบวนการให้เหมาะสมแบบเรียลไทม์ ทำให้เพิ่มปริมาณงานได้ 15% และลดการใช้พลังงานลงได้ 11%.

บริษัท Agilent ผู้ผลิตอุปกรณ์ด้านวิทยาศาสตร์ชีวภาพในเยอรมนีได้นำเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์วิชันมาใช้งานในชุดเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพมากจนทำให้สามารถปรับใช้กรณีการใช้งานคอมพิวเตอร์วิชันที่แตกต่างกัน 5 กรณี ได้ ซึ่งช่วยลดอัตราข้อบกพร่องลงได้ 49% ในเวลาเพียง 4 เดือน.

แหล่งอ้างอิง:

  • https://www.mckinsey.com/industries/metals-and-mining/our-insights/ai-the-next-frontier-of-performance-in-industrial-processing-plants
  • https://www.mckinsey.com/capabilities/operations/our-insights/how-manufacturings-lighthouses-are-capturing-the-full-value-of-ai

ยกระดับการผลิตด้วย Collaborative Robots (Cobot)

Cobot คือหุ่นยนต์ที่ออกแบบมาเพื่อทำงานร่วมกับมนุษย์ในภาคอุตสาหกรรม โดยมีลักษณะเป็นแขนกลที่สามารถหยิบจับและจัดเรียงชิ้นส่วนขนาดเล็ก รวมถึงผลิตงานที่ต้องการความแม่นยำสูงได้อย่างมีประสิทธิภาพและไร้ข้อผิดพลาด ซึ่งได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เนื่องจากสามารถปรับใช้งานได้หลากหลาย ทั้งยังมีความปลอดภัยสูงตามมาตรฐานสากล เช่น ISO 10218-1 หรือมาตรฐานความปลอดภัยอื่นๆ โดยสิ่งที่ทำให้แตกต่างจากหุ่นยนต์ทั่วไปคือขนาดที่กะทัดรัด น้ำหนักเบา และเคลื่อนย้ายง่ายภายในโรงงาน

ที่สำคัญที่สุด Cobot ถูกออกแบบมาให้ทำงานร่วมกับมนุษย์ได้อย่างปลอดภัย ด้วยการติดตั้งเซ็นเซอร์อัจฉริยะที่สามารถชะลอความเร็ว หยุดการทำงาน หรือหลบหลีกสิ่งกีดขวางได้ทันที หากตรวจพบการชนหรือมีสิ่งแปลกปลอมอยู่ใกล้ นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมหุ่นยนต์ร่วมปฏิบัติงานเหล่านี้ถึงกลายเป็นตัวเลือกสำคัญสำหรับโรงงานอุตสาหกรรมในยุคปัจจุบัน

ในปี 2025 การใช้หุ่นยนต์ที่สามารถทำงานร่วมกับมนุษย์ จะมีการขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างมากในโรงงานอุตสาหกรรมไทย โดยเฉพาะในกระบวนการที่ต้องการลดความเสี่ยงและเพิ่มผลผลิต ตัวอย่างในไตรมาสที่ 3 ปี 2024 พบว่าประเทศไทยนำเข้าหุ่นยนต์อุตสาหกรรมและแขนกล มูลค่า 915 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 34.4% จากไตรมาสก่อนหน้า และ 39.8% เมื่อเทียบปีต่อปี ส่วนการส่งออกมีมูลค่า 121 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16.9% จากไตรมาสก่อนหน้า

นอกจากนี้ การสนับสนุนของ BOI ได้มีการอนุมัติ 218 โครงการ ในการนำระบบอัตโนมัติและหุ่นยนต์เข้ามาใช้ในกระบวนการผลิต คิดเป็นมูลค่าการลงทุนรวม 26,422 ล้านบาท ซึ่งแสดงถึงแนวโน้มที่ชัดเจนในการพัฒนาเทคโนโลยีหุ่นยนต์เพื่อความยั่งยืน

แหล่งอ้างอิง:

  • https://tgiraiu.org/public/uploadfile/news/1732258428.pdf

การปรับปรุงกระบวนการผลิตด้วยเครื่องจักรที่ทันสมัย

เครื่องจักรที่ใช้เทคโนโลยี AI และหุ่นยนต์อัจฉริยะสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามความต้องการที่หลากหลายของกระบวนการผลิต โดยมีเทคโนโลยีสำคัญที่ช่วยเสริมประสิทธิภาพดังนี้:

  • Digital Twin (แบบจำลองเสมือนจริง): การสร้างแบบจำลองกระบวนการผลิตเสมือนจริงเพื่อจำลองสถานการณ์ต่างๆ และทดสอบก่อนการผลิตจริง ช่วยลดความเสี่ยงและต้นทุนการทดลอง
  • Machine Learning สำหรับการพยากรณ์: คาดการณ์ความต้องการตลาดล่วงหน้า ช่วยปรับแผนการผลิตและลดปัญหาการผลิตเกินหรือขาดแคลน
  • IoT และ Edge Computing: เชื่อมโยงอุปกรณ์การผลิตแบบเรียลไทม์ เพื่อประมวลผลข้อมูลได้เร็วขึ้น ลดความล่าช้าในการตัดสินใจ

สำหรับโรงงานที่ใช้เครื่องจักรที่สามารถปรับแต่งตามคำสั่งซื้อ เทคโนโลยีเหล่านี้ช่วยให้กระบวนการผลิตมีความยืดหยุ่นสูง สามารถตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงคำสั่งซื้อได้อย่างรวดเร็ว เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและลดต้นทุน พร้อมทั้งปรับกระบวนการผลิตได้ทันทีตามความต้องการ.

ความสำคัญของการพัฒนาอย่างยั่งยืนในกระบวนการผลิต

การพัฒนาอย่างยั่งยืนในอุตสาหกรรมการผลิตไม่ได้เกิดจากการใช้เทคโนโลยีใหม่เพียงอย่างเดียว แต่ยังรวมถึงการปรับปรุงกระบวนการผลิตเพื่อให้มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด ในอนาคต, จะเน้นการใช้ พลังงานสะอาด เช่น แสงอาทิตย์และลม, การลด การปล่อยก๊าซเรือนกระจก, และการนำทรัพยากรกลับมาใช้ใหม่ผ่าน Circular Economy. การใช้เทคโนโลยีที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมช่วยลดต้นทุนระยะยาวและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ตัวอย่างเช่น การใช้ เครื่องจักรประหยัดพลังงาน ที่ช่วยลดการใช้ไฟฟ้าและน้ำในกระบวนการผลิต หรือการใช้ พลังงานทดแทน ในการขับเคลื่อนเครื่องจักรในโรงงาน

 

สำหรับลูกค้าท่านใดที่สนใจกระบวนการผลิตที่ต้องใช้ AI และ Cobot เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ความยืดหยุ่น และลดข้อผิดพลาดในการผลิต สามารถติดต่อเราได้ที่ Contact Us | Yamazen Thailand